การเข้า DFU Mode เพื่อที่จะทำการ Restore firmware นะครับ วีธีการนี้ทำได้ทั้ง iPhone และ iPod Touch ครับ
หลักการ ที่เป็นคำอธิบาย
* ปิดเครื่อง
** ต่อ iPhone กับคอม
*** กดปุ่มเปิดค้างประมาณ 3 วินาที จะเห็นโลโก Apple
**** กด Home ค้าง (ปุ่มปิด/เปิดค้างด้วย) ประมาณ 10 วินาที
***** ปล่อยปุ่ม ปิด/เปิด ออก แต่ยังคงกด Home ไว้ รอประมาณ 30 วินาที
หรือน้อยกว่านั้น ให้สังเกตที่คอม จะพบว่า itune พบ iphone ของเราแล้ว
แต่ว่าืั้ที่หน้าจอ iphone จะไม่ติดนะครับ จากนั้นเราสามารถทำการ Restore
iphone firmware ได้
ข้อควรจำ การ restore
** Windows กด Shift+Restore
** Mac กด Option+Restore
จากนั้นจะเข้าขั้นตอนการ Jailbreak iPhone ครับ
มาดูวีดีโอครับ อันแรกตัวอย่างการเข้า DFU Mode ของ iPhone
วีดีโอชุดที่สอง การเข้า DFU Mode ของ iPod Touch
ขอบคุณวีดีโอจาก youtube.com
ที่มา http://www.iphonemod.net/dfu-mode.html
วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วิธีการ Backup และ Restore เครื่องด้วย iCloud (IOS5)
การ Backup และ Restore เป็นอะไรที่หลายคนทำเป็นประจำ จนมาถึง iOS 5
ที่ทาง Apple ชูจุดเด่นว่าถึงแม้จะไม่มีคอมฯก็สามารถใช้งานได้โดยมี iCloud
มาเป็นตัวรองรับความสามารถนี้ แต่ถึงอย่างนั้นหลายๆคนก็ยังคงงงอยู่ดี
วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการใช้ Backup และ Restore เครื่องด้วย iCloud กัน และความสามารถอื่นๆสามารถอ่านได้จาก 10 ประโยชน์ของ iCloud ที่ควรรู้ ครับ
ข้อจำกัดของการ Backup ด้วย iCloud:
- ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลภายใน App รวมถึงภาพที่ถ่ายเองใน Camera Roll จะถูก Backup ทั้งหมด
- เพลงและวีดีโอที่ซื้อจาก iTunes Store เท่านั้นที่จะถูก Backup
- เพลงและวีดีโอที่ Sync ลงมาจาก iTunes จะไม่ถูก Backup ต้องไป Sync จากคอมฯมาใหม่
- App ในเครื่องจะถูกดาวน์โหลดจาก AppStore ใหม่มาเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดในขั้นตอน Restore
- การดาวน์โหลดข้อมูลและ App ผ่านทาง Wi-Fi มักจะใช้เวลานานมาก ขึ้นอยู่กับความเร็วอินเตอร์เน็ท
วิธีการ Backup iPad / iPhone บน iCloud:
- เปิดใช้การ Backup ด้วย iCloud โดยไปที่ Settings -> iCloud -> Storage & Backup
- เลือกที่คำว่า iCloud Backup ให้เป็น On
- เครื่องจะทำการ Backup กับ iCloud เองวันละครั้งเมื่อเครื่องอยู่ในสภาวะทั้ง 3 อย่างนี้ครบถ้วน
- เครื่องจะต้องเสียบไฟอยู่
- เครื่องจะต้องต่อ WiFi อยู่
- เครื่องจะต้องปิดหน้าจออยู่
- อีกทางคือการกดปุ่ม Backup Now ในหน้า Storage & Backup ขณะต่อ WiFi เพื่อเริ่ม Backup ทันที
เนื่องจาก Apple ให้พื้นที่บน iCloud กับเราเพียง 5GB เท่านั้น (สามารถซื้อเพิ่มได้) ฉะนั้นหลายๆคนอาจจะต้องบริหารพื้นที่โดยการเลือกว่าจะ Backup ข้อมูลจาก App ใดบ้าง โดยสามารถทำได้โดยเข้าไปที่ Settings -> Storage & Backup -> Manage Storage -> เลือกเครื่องที่ใช้งานอยู่ -> ปิด App ที่ไม่ต้องการ Backup ได้
วิธีการ Restore iPad / iPhone จาก iCloud:
การ Restore จาก iCloud นั้นจะสามารถทำได้เฉพาะหน้า Setup Assistant เท่านั้ัน โดยถ้าเป็นเครื่องที่ซื้อมาใหม่ในตอนเปิดครั้งแรกก็จะสามารถทำตามขั้นตอน ด้านล่างนี้ได้ทันที ส่วนเครื่องที่ใช้งานมาแล้วและต้องการที่จะ Restore จะต้องทำการล้างเครื่องโดยไปที่ Settings -> General -> Reset -> Erase All Content and Settings โดยในขั้นตอนการ Restore นี้เครื่องจะต้องต่อ WiFi เท่านั้น
- ทำตามขั้นตอนบนหน้า Setup Assistant จนไปถึงหน้า Setup iPad / Setup iPhone
- เลือก Restore from iCloud Backup
- ใส่ Apple ID และ Password ที่เราใช้กับ iCloud ในการสร้าง Backup
- เลือกไฟล์ Backup ที่เราต้องการ (ดูจากวันที่และเวลา)
ขั้นตอนการ Restore จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือการ Restore Settings ต่างๆของเครื่อง ซึ่งระหว่างนี้อาจจะมีการถาม Password ต่างๆที่เราใช้งาน และส่วนถัดมาคือการ Restore App โดยเราจะเห็น App ต่างๆเริ่มถูกดาวน์โหลดลงมา ถ้าเราต้องการเร่ง App ใดเป็นพิเศษให้แตะที่ App นั้นแล้วเครื่องจะจัดลำดับความสำคัญให้กับ App นั้นเป็นลำดับแรกครับ
ที่มา : ipadappz.com
ข้อจำกัดของการ Backup ด้วย iCloud:
- ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลภายใน App รวมถึงภาพที่ถ่ายเองใน Camera Roll จะถูก Backup ทั้งหมด
- เพลงและวีดีโอที่ซื้อจาก iTunes Store เท่านั้นที่จะถูก Backup
- เพลงและวีดีโอที่ Sync ลงมาจาก iTunes จะไม่ถูก Backup ต้องไป Sync จากคอมฯมาใหม่
- App ในเครื่องจะถูกดาวน์โหลดจาก AppStore ใหม่มาเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดในขั้นตอน Restore
- การดาวน์โหลดข้อมูลและ App ผ่านทาง Wi-Fi มักจะใช้เวลานานมาก ขึ้นอยู่กับความเร็วอินเตอร์เน็ท
วิธีการ Backup iPad / iPhone บน iCloud:
- เปิดใช้การ Backup ด้วย iCloud โดยไปที่ Settings -> iCloud -> Storage & Backup
- เลือกที่คำว่า iCloud Backup ให้เป็น On
- เครื่องจะทำการ Backup กับ iCloud เองวันละครั้งเมื่อเครื่องอยู่ในสภาวะทั้ง 3 อย่างนี้ครบถ้วน
- เครื่องจะต้องเสียบไฟอยู่
- เครื่องจะต้องต่อ WiFi อยู่
- เครื่องจะต้องปิดหน้าจออยู่
- อีกทางคือการกดปุ่ม Backup Now ในหน้า Storage & Backup ขณะต่อ WiFi เพื่อเริ่ม Backup ทันที
เนื่องจาก Apple ให้พื้นที่บน iCloud กับเราเพียง 5GB เท่านั้น (สามารถซื้อเพิ่มได้) ฉะนั้นหลายๆคนอาจจะต้องบริหารพื้นที่โดยการเลือกว่าจะ Backup ข้อมูลจาก App ใดบ้าง โดยสามารถทำได้โดยเข้าไปที่ Settings -> Storage & Backup -> Manage Storage -> เลือกเครื่องที่ใช้งานอยู่ -> ปิด App ที่ไม่ต้องการ Backup ได้
วิธีการ Restore iPad / iPhone จาก iCloud:
การ Restore จาก iCloud นั้นจะสามารถทำได้เฉพาะหน้า Setup Assistant เท่านั้ัน โดยถ้าเป็นเครื่องที่ซื้อมาใหม่ในตอนเปิดครั้งแรกก็จะสามารถทำตามขั้นตอน ด้านล่างนี้ได้ทันที ส่วนเครื่องที่ใช้งานมาแล้วและต้องการที่จะ Restore จะต้องทำการล้างเครื่องโดยไปที่ Settings -> General -> Reset -> Erase All Content and Settings โดยในขั้นตอนการ Restore นี้เครื่องจะต้องต่อ WiFi เท่านั้น
- ทำตามขั้นตอนบนหน้า Setup Assistant จนไปถึงหน้า Setup iPad / Setup iPhone
- เลือก Restore from iCloud Backup
- ใส่ Apple ID และ Password ที่เราใช้กับ iCloud ในการสร้าง Backup
- เลือกไฟล์ Backup ที่เราต้องการ (ดูจากวันที่และเวลา)
ขั้นตอนการ Restore จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือการ Restore Settings ต่างๆของเครื่อง ซึ่งระหว่างนี้อาจจะมีการถาม Password ต่างๆที่เราใช้งาน และส่วนถัดมาคือการ Restore App โดยเราจะเห็น App ต่างๆเริ่มถูกดาวน์โหลดลงมา ถ้าเราต้องการเร่ง App ใดเป็นพิเศษให้แตะที่ App นั้นแล้วเครื่องจะจัดลำดับความสำคัญให้กับ App นั้นเป็นลำดับแรกครับ
ที่มา : ipadappz.com
วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555
รวบรวมข่าวสารทั้งหมดสำหรับ iPhone5 มาให้ดูกันนะครับ
อัพเดทข่าวล่าสุด เกี่ยวกับ ไอโฟน 5 (iPhone 5)
- Dock connector มีขนาดเล็กลง
- ช่องเสียบหูฟังย้ายมาอยู่ด้านล่าง
- ซิมการ์ด ไม่ใช่แบบ microSIM แล้ว น่าจะเป็น nanoSIM
- ตัวเครื่อง ไอโฟน 5 (iPhone 5) บางกว่า iPhone 4S
ย้ำปิดท้ายไว้เช่นเคยครับว่า ยังไม่มีการยืนยันว่า นี่คือชิ้นส่วน ไอโฟน 5 (iPhone 5) จริงๆ หรือไม่ - macrumors.com
นอกจาก ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะมีการปรับขนาดหน้าจอเป็น 4 นิ้ว ตามคำยืนยันของแหล่งข่าวหลายแห่งแล้ว ล่าสุด นักวิเคราะห์จากสถาบัน KGI นามว่า Mingchi Kuo ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะมีปรับกล้องหน้า สำหรับการใช้งาน FaceTime ให้มีความละเอียดในระดับ HD 720p จากเดิมที่มีความละเอียดระดับ VGA ครับ
นอกจากนี้ รายงานยังได้ระบุด้วยว่า ในส่วนของรูรับแสง (Aperture) บนกล้องด้านหลัง ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น ได้มีการเพิ่มขนาด จากเดิม f/2.4 เป็น f/2.2 ส่วนความละเอียดของกล้องนั้น ยังคงอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซลเท่าเดิมครับ
สำหรับกำหนดการเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น คาดว่าจะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงครบรอบ Product cycle พอดีนั่นเอง ส่วนหน้าตาของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) รวมไปถึงสเปคนั้น ยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการครับ - appleinsider.com
หลังจากปรากฎภาพ กรอบด้านหน้าและหลังของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) (ข่าวเก่า) กับส่วนประกอบต่างๆ ที่ดูเหมือนว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) น่าจะมีการออกแบบที่แตกต่างไปจาก iPhone รุ่นปัจจุบัน ล่าสุด เว็บไซต์ Cydia blog ได้เผยภาพพิมพ์เขียว ซึ่งเป็นแบบร่าง ไอโฟน 5 (iPhone 5) ที่ระบุว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น มีขนาดหน้าจอที่กว้างขึ้น และที่สำคัญ รายละเอียดในแบบพิมพ์เขียวนั้น สอดคล้องกับรูปหลุดกรอบด้านหน้าและหลัง ไอโฟน 5 (iPhone 5) ครับ
ในขณะนี้ เรายังคงไม่สามารถสรุปได้ว่า บอดี้ของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น จะใช้วัสดุประเภทใด แต่ในระยะหลังนี้ ข่าวลือเกี่ยวกับวัสดุประเภท Liquid Metal มาแรงมากครับ ทำให้เชื่อกันว่า บอดี้ ไอโฟน 5 (iPhone 5) น่าจะมี Liquid Metal เป็นส่วนประกอบ ไปดูกันว่า ถ้าหากบอดี้ของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น ทำมาจาก Liquid Metal จริง จะมีลักษณะ และรูปร่างเป็นอย่างไร
นอกจากโรงงาน Pegatron จะได้รับคำสั่งแล้ว ทางฝั่งของโรงงาน Foxconn ที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันดีนั้น ก็กำลังเร่งผลิต ไอแพด (iPad) ขนาด 7 นิ้วเช่นกันครับ เพื่อให้ทันเปิดตัวในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้นั่นเอง หรือเปิดตัวก่อนหน้าการเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5) ประมาณ 1 เดือนครับ
อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกระแสข่าวของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) กับ iPad 7 นิ้ว แล้ว ดูเหมือนว่า iPad 7 นิ้ว จะมีข่าวคราวค่อนข้างมากกว่าเล็กน้อยครับ รวมไปถึงรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติของตัวเครื่องด้วย ไม่่ว่าจะเป็น หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 7.85 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่เท่ากับ ไอแพด 2 (iPad 2) นั่นเอง โดยการกำหนดคุณสมบัติแบบนี้ จะทำให้แอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่บน AppStore นั้น สามารถใช้งานบน iPad 7 นิ้วได้อย่างไม่มีปัญหาครับ - macrumors.com
ไอโฟน 5 (iPhone 5) ใช้เทคโนโลยีแบบ in-cell
ปกติแล้ว สมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป จะใช้เทคโนโลยีแบบ on-cell แต่เทคโนโลยีแบบ in-cell นี้ สามารถทำให้สมาร์ทโฟนมีขนาดที่บางลงได้ เนื่องจากตัว touch sensors นั้น มาอยู่รวมกับ color filters แทน ซึ่งถ้าหากเป็นสมาร์ทโฟนปกติ ตัว touch sensors จะอยู่ด้านบนครับ ฉะนั้น เทคโนโลยีแบบ in-cell จะช่วยทำให้ Apple ลดความบางของหน้าจอลงได้ แถมมีน้ำหนักเบา โดยที่ไม่จำเป็นต้องลดสเปคในส่วนอื่นๆ ครับ
ส่วนบริษัทที่จะรับหน้าที่ในการผลิตจอแสดงผลแบบ in-cell นี้ ก็ได้แก่ Sharp และ Toshiba ซึ่งจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาสนี้ - macrumors.com
ก่อนหน้านั้น Apple ได้เคยซื้อสิทธิบัตร Liquid Metal technology มาแล้ว (แต่ก่อนเป็นของบริษัท Liquidmetal Technology) และได้นำมาผลิตเข็มจิ้มถาดซิมการ์ด ดังที่เราเห็นกันทั้งบน iPhone และ iPad โดย Liquid Metal นั้น เป็นโลหะผสมระหว่าง ทองแดง (Copper) + ไทเทเนียม + เซอร์โคเนียม + นิกเกิล ซึ่งมีลักษณะพิเศษ นั่นก็คือ ป้องกันแรงขีดข่วน แรงกระแทก และการกัดกร่อนได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ การใช้ Liquid Metal เป็นส่วนประกอบนั้น จะช่วยทำให้อุปกรณ์นั้น มีความบางลงด้วยครับ
จากคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้นของ Liquid Metal นั้น ทำให้คาดกันว่า บอดี้ของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) น่าจะใช้วัสดุประเภท Liquid Metal แทนการใช้กระจกแบบ iPhone เจเนอเรชั่นก่อนๆ ที่เสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย แต่อาจจะเป็นตัวเครื่องแบบ Unibody Liquid Metal ครับ เนื่องจากต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน - geekwithlaptop.com
นอกจากนี้ Brian White ยังได้เปิดเผยอีกว่า กระบวนการผลิต ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น จะเริ่มในเดือนมิถุนายนนี้ ก่อนจะเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5) ประมาณเดือนสิงหาคม - กันยายน ซึ่งทำให้ข่าวการเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5) ในเดือนมิถุนายนนี้ ตกไปครับ
Brian White ยังได้ระบุอีกว่า นอกจาก ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะมีการออกแบบใหม่แล้ว ยังเพิ่มการรองรับ 4G อีกด้วย
อย่างไรก็ดี เมื่อ ไอโฟน 5 (iPhone 5) มีหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ ความละเอียดของหน้าจอครับ ทำให้มีทางเลือก 2 ทาง นั่นก็คือ เพิ่มความละเอียดของหน้าจอให้มากขึ้น แต่วิธีนี้ จะสร้างความลำบากให้กับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นครับ หรือทางเลือกที่ 2 นั่นก็คือ ลดความหนาแน่นของพิกเซลมาอยู่ที่ 285 ppi แทน (จากเดิม 326 ppi)
นอกจากนี้ Brian White ยังได้รับข้อมูลจาก supplier ด้วยว่า iPad mini มีจริงครับ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่า จะเปิดตัวเมื่อไหร่ - macrumors.com
นอจากนี้ ยังมีข่าวว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะใช้กล้องที่สามารถถ่ายภาพ ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว แบบ 3 มิติได้ครับ
จริงๆ แล้ว การนำเทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบ 3 มิติ หรือ 3D นั้น มาใช้บนสมาร์ทโฟนนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะในปีที่ผ่านมา มีสมาร์ทโฟนที่เปิดตัว พร้อมกับการถ่ายภาพแบบ 3 มิติกันหลากหลายรุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น LG Optimus 3D หรือ HTC EVO 3D แต่เทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบ 3 มิติบน ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น แหล่งข่าวได้เปิดเผยว่า แตกต่างจากสมาร์ทโฟน 3 มิติรุ่นอื่นๆ โดยเป็นเทคโนโลยีที่ทาง Apple คิดค้นขึ้นเอง และได้ทำการจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับรายละเอียดของ เทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบ 3 มิติ ที่ระบุบนสิทธิบัตรนั้น นั่นก็คือ ขณะที่ผู้ใช้งานทำการถ่ายวิดีโออยู่นั้น ระบบเซนเซอร์จะทำการคำนวณระยะความลึก และพื้นผิว เพื่อทำการสร้างโมเดลเชิง 3 มิติ จากนั้น ทั้งภาพหรือวิดีโอจะถูกจับคู่ให้เข้ากับ โมเดลเชิง 3 มิติ และรวมกันเป็นภาพเชิง 3 มิติขึ้นมาครับ
ถ้าหาก Apple ได้ทำเทคโนโลยีดังกล่าว มาใช้กับ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ได้ทัน ปลายปีนี้ เราคงได้พบกับ กล้องบน ไอโฟน 5 (iPhone 5) ที่สามารถถ่ายภาพแบบ 3 มิติได้ครับ รวมไปถึง iPad รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในปี 2013 อีกด้วย - t3.com
นอกจากนี้ iMore ยังได้เผยว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 นี้ และรองรับการใช้งานเครือข่าย LTE อีกด้วย - macrumors.com
โดยเว็บไซต์ 9to5Mac อ้างว่า แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับ Apple ได้เผยว่า มีความเป็นไปได้อย่างมาก ที่ Apple จะเรียก ไอโฟน 5 (iPhone 5) ว่า "The new iPhone - t3.com
ส่วนสาเหตุที่ Apple ต้องรีบเข็น The new iPad (iPad 3) มาเปิดตัวกับชิป Apple A5X เป็นเพราะว่า Apple รอชิปตัวใหม่ ที่ใช้สถาปัตยกรรมขนาด 28 นาโนเมตร ไม่ไหวนั่นเอง - MacWorld
กำหนดการเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5)
โดยเว็บไซต์ iMore นั้น เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับ The new iPad (iPad 3) ไว้ว่า จะเปิดตัวในวันที่ 7 มีนาคม ที่จะถึงนี้อีกด้วยครับ
สเปค ไอโฟน 5 (iPhone 5)
สเปคของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ตามข่าวลือในตอนนี้ ก็คือ หน้าจอทัชสกรีนแบบ Glass to glass หรือ Gorilla Glass 2 ซึ่งหน้าจอจะมีขนาดใหญ่ถึงประมาณ 4 นิ้ว ใช้ชิพเซ็ท Apple A6 แบบ ARM Quad-core Processor รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของกล้องถ่ายรูปด้านหลัง ที่คาดว่า น่าจะมีความละเอียดสูงกว่า 8 ล้านพิกเซล บน ไอโฟน 4S (iPhone 4S) อย่างแน่นอน นอกจากนี้ จะมีการเพิ่ม RAM และหน่วยความจำในตัวเครื่องอีกด้วย
อย่างไรก็ดี iPhone SJ ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า จะเป็นต้นแบบของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) หรือไม่ (อ่านข่าว iPhone SJ เพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่)
(หมายเหตุ: รูปด้านบน ใช้สำหรับการประกอบข่าวเท่านั้น ไม่ใช่ iPhone 5 เครื่องจริง)
รูป mock up ที่คาดว่า น่าจะเป็น ไอโฟน 5 (iPhone 5)
เคสใส่ ไอโฟน 5 (iPhone 5)
ณ ตอนนี้ ยังไม่มีข้อมูลด้านราคา ไอโฟน 5 (iPhone 5) สรุปออกมานะครับ แต่เราก็สามารถคาดเดาราคาของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ได้ว่า น่าจะไม่แตกต่างไปจากราคา ไอโฟน 4S (iPhone 4S) เปิดตัวเท่าไหร่ ซึ่งบางที อาจจะเปิดตัวด้วยราคาที่เท่ากันด้วยซ้ำไป
ขอมูลทั้งหมดจาก http://www.techmoblog.com/iphone-5/
วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555
เผยเงินเดือนเฉลี่ยต่อปีพนักงาน Apple ทุกตำแหน่งและอัตรา...อยากรู้ไปดูเลย!
เผยเงินเดือนเฉลี่ยต่อปีพนักงาน Apple ทุกตำแหน่งและอัตรา...อยากรู้ไปดูเลย!
Apple อัพเดทข่าวล่าสุดกับ ป๋าเอก TechXcite น่าจะเป็นตัวเลขที่ทำให้ใครหลายคนเกิดแรงบันดาลใจในการผลักดันฉุดกระชากลาก ถูตัวเองให้ได้มีโอกาสไปทำงานกับบริษัท Apple ดูซักครั้งหนึ่งในชีวิต หลังมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานบริษัท Apple ในตำแหน่งต่างๆออกมาเป็นที่เนรียบร้อยแล้วผ่านทางเว็บไซต์ Cultofmac ซึ่งแม้ว่ารายรับของพนักงาน Apple อาจจะไม่สูงเท่ากับบริษัท IT ยักษ์ใหญ่แห่งอื่นๆ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Apple ตอบแทนความสามารถของพนักงานในสังกัดได้อย่างสมน้ำสมเนื้อดีทีเดียวเชียว
ทั้งนี้สำหรับตัวเลขดังกล่าวก็จะยังเพิ่มมากขึ้นตามไปอีกสำหรับตำแหน่ง
ผู้บริหารระดับสูงภายในบริษัท Apple เช่น Sir Jony Ive หรือ Scott Forstall
เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเงินเดือนตัวเลขห้าหลักหกหลักเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆไป
เลยหากเทียบกับรายได้ของ CEO สูงสุดของ Apple ไม่ว่าจะเป็น Steve Jobs หรือ
Tim Cook ที่ต่างก็รับรายได้จากบริษัทเพียงปีละ $1 (30 บาท) เท่านั้นครับ
Apple อัพเดทข่าวล่าสุดกับ ป๋าเอก TechXcite น่าจะเป็นตัวเลขที่ทำให้ใครหลายคนเกิดแรงบันดาลใจในการผลักดันฉุดกระชากลาก ถูตัวเองให้ได้มีโอกาสไปทำงานกับบริษัท Apple ดูซักครั้งหนึ่งในชีวิต หลังมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานบริษัท Apple ในตำแหน่งต่างๆออกมาเป็นที่เนรียบร้อยแล้วผ่านทางเว็บไซต์ Cultofmac ซึ่งแม้ว่ารายรับของพนักงาน Apple อาจจะไม่สูงเท่ากับบริษัท IT ยักษ์ใหญ่แห่งอื่นๆ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Apple ตอบแทนความสามารถของพนักงานในสังกัดได้อย่างสมน้ำสมเนื้อดีทีเดียวเชียว
- Apple Store Genius – $38,937
- Lead Genius – $38,353
- Assistant Apple Store Manager – $49,176
- Account Executive – $75,324
- Financial Analyst – $81,523
- Software Quality Assurance Engineer – $87,651
- Business Analyst – $87,768
- Systems Engineer – $94,119
- Project Manager – $94,652
- Mechanical Engineer – $99,900
- Senior Systems Engineer – $101,794
- Software Engineer – $103,883
- Firmware Engineer – $103,985
- Test Engineer – $104,926
- Hardware Engineer – $105,316
- Database Administrator – $105,382
- Production Design Engineer – $116,019
- Product Manager – $118,556
- Senior Hardware Engineer – $124,893
- Senior Software Engineer – $126,325
- Art Director – $133,664
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบบทความโดย: ป๋าเอก TechXcite
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)